วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิธีทำ SEO : เลือก Keywords ซึ่งวิเคราะห์จาก Google Trends

Keyword คือ วลี หรือ คำ ที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราถูกค้นพบโดย Google ได้ง่าย  เพราะในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ บนโลก Internet ผู้คนส่วนใหญ่มักจะใช้ Keyword ในการค้นหา เช่น หากเราอยากค้นหาคำว่า "ชุดทำงาน" เราก็อาจจะใช้คำว่า เดรสทำงาน, ชุดทำงาน, ตัดชุดทำงาน อย่างนี้ เป็นต้น
ส่วน Algorithm ของ Search Engine เองก็ให้ความสำคัญกับ Keyword เช่นกัน โดยจะเก็บสถิติการค้นของคำต่าง ๆ ตลอดเวลา ซึ่งฐานข้อมูลที่เก็บไว้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการสอน seo ทั่วไป หรือสำหรับผู้ที่ทำ Internet Marketing  ก็สามารถนำสถิติเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ด้วยเช่นกัน

หากไม่มีความหนาแน่น ของ Keyword เพียงพอ จะส่งผลต่ออันดับการค้นหาที่ไม่ดีตามไปด้วย

หลักของการค้นหา Keyword 

  1. Keyword ที่มีผลการค้นหาเยอะ เมื่อมีผู้ค้นหาบนโลกออนไลน์เยอะ ก็มีโอกาสที่จะหาคนเข้าเว็บได้เยอะและปิดการขายได้เยอะขึ้นตามมานั่นเอง
  2. Keyword ที่มีคู่แข่งน้อยหรือสามารถล้มคู่แข่งด้วยวิธีทำ SEO ได้ไม่ยาก ถ้าหากสำรวจคู่แข่งที่อยู่บนหน้าแรกของ Search Engine แล้วพบว่า คู่แข่งนั้นเป็นบริษัทขนาดใหญ่ หรือเซียนด้าน SEO แล้วเราก็คงต้องหา Keyword ที่มีผลการค้นหาที่น้อยกว่าคำนี้สักหน่อย เพราะจะให้ไปสู้คู่แข่งระดับใหญ่ๆก็คงไม่ไหว หรือ ต้องใช้เวลานานมากในการทำ
  3. Keyword ที่มีมูลค่าทางการตลาด หมายถึง เป็นคำที่ผู้ค้นหาต้องการซื้อของสิ่งๆนั้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้า Keyword คือ ดาวน์โหลดเกมฟรี ก็อาจจะขายแผ่นเกมแทบไม่ได้เลย เพราะคนที่ค้นหาต้องการของฟรีเท่านั้น แต่ถ้ามองในแง่ดีก็คือ ส่วนใหญ่แล้ว เว็บไซต์ที่ขายเกมในปัจจุบันก็จะมีออกมาอย่างน้อย 2 เวอร์ชั่น นั่นคือ แบบฟรี และแบบเสียเงิน ซึ่งเผื่อเอาไว้ว่าหลังจากผู้เล่นได้ทดลองเล่นจะเปลี่ยนใจไปเล่นแบบเสียเงิน เพราะสนุกกว่าได้ฟังก์ชั่นเยอะกว่า  หรือ Information Keyword ที่เป็นคำสำหรับผู้ค้นหาข้อมูลเฉยๆ เช่น Keyword  “วิธีปลูกเห็ดด้วยตัวเอง” เราก็อาจจะไม่ได้เงินจากคนๆนี้หรอก เพราะเขาไม่ต้องการที่จะเสียเงิน ซึ่งดูได้จาก Keyword ที่เขาใช้ค้นหา เป็นต้น

เครื่องมือ Google Trend

คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้เราหา Keyword ที่ดีๆ โดนๆ ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ 
มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
1. เข้าเว็บไซต์ Google Trend
2. ใส่คำค้นหาในช่อง Search Google Trend ซึ่งสามารถใส่ได้หลายๆคำ โดยใช้เครื่องหมายคอมม่าขั้น (,) Keyword แต่ละตัว อย่างเช่น ของชำร่วย,ของชำร่วยงานแต่ง เป็นต้น แล้วคลิกที่ปุมค้นหา (รูปแว่นขยายสีฟ้า)
3. ดังภาพ 


จากภาพ นั้น 
ส่วน A: เราสามารถเลือกขอบเขตการค้นหาเป็น ในประเทศ หรือ ทั่วโลก , ช่วงเวลา , หมวดหมู่ หรือ ค้นหาเป็นประเภทของเว็บไซต์ได้
ส่วน B: ข้อความค้นหาจาก Keyword ที่เราใส่เข้าไป และเพิ่มข้อความได้ตรงช่อง “+เพิ่มข้อความ” สังเกตได้ว่า แถบสีที่อยู่หน้าข้อความ แสดงแทนสีของเส้นกราฟ
ส่วน C: ระดับความสนใจ จากภาพแสดงออกมาในรูปของเส้นกราฟแนวโน้มการค้นหาตามช่วงเวลาที่เรากำหนด และมีแท่งกราฟแสดงสรุปให้เห็นเปรีบเทียบกับ Keyword  อื่นๆ นอกจากนั้นเรายังสามารถเลือกติ๊กที่ช่อง “ข่าวเด่น” เพื่อแสดงให้ปรากฎในกราฟ หรือ ติ๊กถูกที่ช่อง “คาดการณ์” เพื่อแสดงแนวโน้มในอนาคตซึ่งจะเห็นเป็นเส้นประ
4. ภาพส่วนที่สอง

จากภาพส่วนนี้เราสามารถเลือกดูเจาะจงข้อมูลระดับภูมิภาคได้ด้วย
ส่วน A: เลือก Keyword จากที่เราคีย์ไว้ตั้งแต่ต้น
ส่วน B: เลือกส่วนภูมิภาค คือ จังหวัด หรือ เมืองย่อยๆ ได้อีก
ส่วน C: แสดงข้อมูลแนวโน้ม ซึ่งแสดงเป็น ตัวเลข และแถบสี
ส่วน D: แสดงกราฟสีให้เห็นได้อย่างชัดเจน และสามารถเลือกรันให้เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวแสดงความเปลี่ยนแปลงของกระแสตั้งแต่อดีต – ปัจจุบันได้
5. ภาพส่วนที่สาม


จากภาพ เราสามารถใช้ส่วนนี้ต่อยอดความคิดในการค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้องได้ มีการจัดลำดับความนิยมให้เห็นอย่างชัดเจน ทำให้เราได้เห็นภาพ Keyword ใหม่ๆที่น่าสนใจอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิธี Redirect 301 ทำค่าคะแนน SEO

   เพื่อผู้ที่ต้องการย้ายที่อยู่ Website ไปยัง URL อื่น  ซึ่งเราสามารถแก้ไขหน้าเว็บไซต์ได้เลยว่าที่อยู่ของเว็บไซต์ใหม่ของผู้ใช้เป็นอะไร และทำการสร้าง Link ไปหาเลย แต่ว่าเรามีวิธีที่ดีกว่านั้นมาก โดยการ Redirect เว็บไซต์ ชื่อเดิมแล้วให้ไปที่ชื่อใหม่ เรียกวิธีการนี้ว่า 301 Redirect ซึ่งการทำ 301 Redirect  นั้นสามารถใช้ได้กับ Website ที่ Run ด้วย Apache เท่านั้นน โดยเราจะทำโดยใช้
  File .htaccess ในการบอกกับ Web Server ว่าเราจะ Redirect อะไรและอย่างไรบ้าง?
สำหรับวิธีทำ SEO เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่า 301 Redirect เป็นวิธีการ redirect เพจที่ Google แนะนำ ก็คือ Google ให้เป็นตัวช่วยสำหรับกรณีมีการย้ายที่อยู่ของเว็บเพจ แต่มีผู้ชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่าน นำตัวช่วยตัวนี้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก แต่ถึงแม้ว่าจะดูเป็นสายเทา ๆ หน่อย  Google ก็คงเล่นงานได้ยากมากทีเดียว หรือ อาจจะไม่สามารถเล่นงานได้เลย
วิธีการทำ 301 Redirect 
– การ Redirect แต่ละหน้า : เอาไว้สำหรับ Redirect บางหน้า วิธีก็คือ สร้างไฟล์  .htaccess แล้วนำโค้ด
Redirect 301 /oldpage.html http://www.yoursite.com/newpage.html    นี้ใส่ลงไปในไฟล์
– การ Redirect ทั้ง Website เลย : เหมาะกับคนที่เปลี่ยน Domian ใหม่ วิธีก็คือ สร้างไฟล์  .htaccess แล้วใส่ โค้ด นี้
Redirect 301 / http://www.newssite.com/
Redirect ชื่อสกุล File  หมาะกับผู้ที่อาจจะเปลี่ยน Hosting ซึ่งก็อาจจะไม่ Support file บางอย่างเลยต้องเปลี่ยนไปใช้ File อื่น อย่างเช่น เปลี่ยน Host ที่ Run โดย IIS มาเป็น Host ที่ใช้ Apache ซึ่งเดิม File อาจจะเป็น asp ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็น php หรือ html แทน  โดยใส่ Code นี้ใน File .htaccess
RedirectMatch 301 (.*).asp$ http://www.yousite.com$1.php
** ซึ่งในกรณีนี้ชื่อ File ต้องเหมือนกัน เช่น meta.asp กับ meta.php
–   Redirect จากเว็บที่ไม่มี www ให้ไป URL ที่ใส่ www คือ ใส่ Code นี้ใน File .htaccess
Options +FollowSymLinks
RewriteEngine on
RewriteCond %{HTTP_HOST} ^example.com [NC]
RewriteRule ^(.*)$ http://www.example.com/$1 [L,R=301]

ซึ่ง Google จะมองว่า เว็บไซต์ http://example.com กับ http://www.example.com นี้ เป็นคนละเว็บไซต์กัน

ประโยชน์ของการ Redirect  
– หากเราทำการปรับเปลี่ยนเว็บไซต์จนทำให้ URL ของหน้าเว็บต่างๆนั้นเปลี่ยนไป แต่ URL เก่าๆ ของเว็บไซต์เราอาจจะยังปรากฏอยู่ในที่ต่างๆ เช่น ใน Directory ที่เราเคยไป Submit ไว้ หรือ หน้าของ Search Results ใน Search Engine ซึ่งพอผู้ใช้ คลิกเข้าไปก็จะเจอกับหน้า 404 ถ้าเราไม่ทำการ Redirect หน้าเก่าไป หน้าใหม่
– ในเรื่องของ SEO เอง เนื่องจากการทำ 301 Redirect นั้น นอกจากจะ Redirect หน้าเก่าไปหน้าใหม่แล้ว มันยังส่งค่าต่างๆ ไปยังหน้าใหม่ของเราด้วย เช่น ค่า incoming links ที่หน้าเก่าเรามีอยู่
ซึ่งหมายความว่า เราสามารถส่ง Backlink จากเพจเดิมไปยังเพจใหม่ได้ และสามารถลดปัญหา Duplicate content ได้อีกด้วย
อย่างเช่น  เรานำบางเพจมาใช้งาน แล้วก็ทำการย้ายที่ไปที่หลัง ซึ่งสามารถรวมไปถึงเพจจากเว็บอื่น ๆ ที่ตอนแรกไม่ได้เป็นของเราด้วย เช่น เราซื้อ Domain ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเอาเราไว้ แล้วทำการใช้งานตัว 301 Redirect มายังเว็บไซต์ของเรานั่นเอง แต่วิธีการแบบนี้ บางคนที่ทำ Link Wheel มาอาจจะบอกว่า ก็ให้ Domain ใหม่ (ที่ซื้อมา) ยิง link มาหาเว็บหลักของเราก็ได้ เพราะถ้าหากเรายิงเข้ามาหาเว็บเรา เราก็จะได้แค่ link อันเดียว กับ anchor text อันเดียว แต่หากเราทำการใช้ 301 Redirect เราจะได้ ความหลากหลายของ domains และ anchor texts อีกด้วย


วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

สอน seo : ปัจจัยอะไรที่มีผลต่อการทำ SEO


วิธีทำ SEO และ การวัดผลของ Backlink

1. สิ่งที่ควรทำสำหรับ SEO มีอะไรบ้าง และส่งผลอย่างไร?

                2.1 ปรับปรุงโครงสร้าง และ ข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์ ให้มีคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์การค้นหา ให้เหมาะสมกับการทำ SEO
                ส่งผลดีต่อ: การเก็บข้อมูลของ Search Engine บนเว็บไซต์
                2.2 หาลิงค์ประเภทต่างๆเข้ามายังเว็บไซต์ โดยเป็นลิงค์จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง ที่มีความน่าเชื่อถือ
                ส่งผลดีต่อ: ทำให้มีความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ในการทำ SEO เนื่องจากมีการเชื่อมโยงลิงค์จากเว็บไซต์อื่นๆเข้ามายังเรา
                2.3 สร้าง Traffic เข้ามายังเว็บไซต์ด้วยการโปรโมทโฆษณาสื่อออนไลน์ต่างๆ
                ส่งผลดีต่อ: ทำให้เกิด Traffic เข้ามายังเว็บไซต์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

2. หลักการปรับปรุงและรักษาอันดับของ SEO ประกอบด้วยปัจจัยอะไรบ้าง มีน้ำหนักแต่ละอย่างเท่าไหร่ อะไรเป็น priority อันดับใดบ้าง

ปัจจัย 5  ที่มีผลต่อ SEO เรียงความสำคัญจากมากไปน้อย
                1.1 ทำเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ตอบโจทย์สิ่งที่คนค้นหาต้องการ
                1.2 เว็บไซต์มีข้อมูลครบถ้วน
                1.3 โครงสร้างเว็บไซต์ดีใช้งานง่าย
                1.4 มีลิงค์เข้ามาจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
                1.5 มี Traffic เข้ามายังเว็บไซต์จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ


3. มีสิ่งใดที่ต้องดำเนินการเพิ่มเติมบ้าง เพราะเหตุใด
                หาลิงค์เข้ามายังเว็บไซต์ ในรูปแบบบทความที่มีคุณภาพ (แต่เดิมมีแต่แบบ Text ลิงค์/Ads รูปภาพ)
                เหตุผล: เพื่อเพิ่มความหลากหลายของประเภทลิงค์ที่เข้ามายังเว็บไซต์เรา ซึ่งส่งผลดีต่อ SEO ในระยะยาว

4. Best Practice ของผู้ที่อยู่อันดับ 1 พอจะมีข้อมูลหรือไม่ว่า ดำเนินการสิ่งใดบ้าง จำนวนเท่าไหร่

                4.1 เนื้อหาในเว็บไซต์มีการอัพเดทรายชั่วโมง มีการสร้างเนื้อหาจากผู้ใช้งานในเว็บไซต์
                4.2 เว็บไซต์นั้นๆมี Direct Traffic จำนวนมาก เนื่องจากเป็นตลาดกลางในการซื้อขายอสังหาโดยตรง
                4.3 ส่วนใหญ่เป็นเว็บไซต์ ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆเป็นจำนวนมาก

5. การวัดผลของ Backlink ที่ซื้อไป ว่าในแต่ละอันที่ซื้อส่งผลอะไรบ้าง
                โดยวัดผลได้จาก: หลังจากมีการติด Backlinks ไปแล้ว หากอันดับใน Keyword นั้นๆเพิ่มขึ้นมา แปลว่า Backlinks ที่ซื้อไปนั้นมีคุณภาพ ส่งผลดีต่อ SEO จริง

สอน seo : Google Penguin และ Google Panda


ตลอดทุกๆ สองถึงสามเดือน Google จะปรับปรุงแก้ไข้ อัลกอริทึ่ม  ที่ใช้แสดงผลลัพธ์การค้นหา สำหรับวิธีทำ SEO เราได้ทราบว่า เมื่อมีการอัพเดทเหล่านี้สามารถทำให้ผู้ที่ใช้ Google อธิบายการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งการจัดอันดับและการเข้าชมเว็บไซต์ ดังนั้น Google จึงประกาศ อัลกอริทึ่ม ตัวใหม่ คือ  Google Panda
Google Panda    เป็นโครงสร้างอัลกอริทึ่มของ Google ที่ใช้คัดกรองเนื้อหาบนเว็บไซด์ที่มีเนื้อหาคุณภาพต่ำ (Low Quality Site) และมีการ Copy เนื้อหาที่มาจากเว็บอื่น (Duplicate Content) แต่ด้วยจากเว็บไซต์เหล่านั้นไม่จำเป็น ไม่มีประโยชน์ต่อการค้นหา จึงไม่ถูก Index และตัดออกไปจากหน้าการค้นหา ในขณะเดียวกันเว็บไซต์คุณภาพ (High Quality Site) ที่เป็นเจ้าของเนื้อหา บทความ จริงๆ ก็จะมีอันดับที่ดีขึ้น (กล่าวง่ายๆก็เหมือนกับ Google ให้อันดับที่ดีกับเจ้าของงานที่มีคุณภาพ และ จับโจร ที่ขโมยผลงานก็ว่าได้) โดยอัลกอริทึ่ม ตัวใหม่นี้มีผลกระทบประมาณ 11.8 % บนผลการค้นหาของการค้นหาทั้งหมด
กล่าวคือ อัลกอริทึ่ม ตัวนี้ทำมาเพื่อจัดการกับ พวกชอบปั่นเว็บ ทำสแปม หรือ Content Farm เว็บไซต์ หรือ บล็อค ที่ “คุณภาพต่ำ” เพื่ออาศัยดันให้เว็บตัวเองได้ติดอันดับสูงๆ ในหน้าแรกของ Google
Content Farm เป็นเว็บไซด์ที่มีบทความเยอะแยะเต็มไปหมด โดยอาจจะคัดลอกมาจากเว็บไซด์อื่นๆ ไม่ได้เขียนขึ้นมาเอง ซึ่งเว็บไซด์เหล่านั้น Google จะมองว่าเป็นเว็บไซด์ที่ไร้คุณภาพ ก็จะถูกลดอันดับออกไป Google panda จึงได้เกิดขึ้นมาเพื่อคัดกรองข้อมูลเหล่านั้นอย่างแม่นยำ
Google Panda ตรวจพบเว็บไซต์แบบไหนบ้าง?
  1. อัตราการ bounce ที่สูงของหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้า
  2. อัตราเปอร์เซ็นต์ ของคนเข้าชมกลับมาชมเว็บไซต์อีกที่ต่ำ
  3. อัตราการเยี่ยมชมในเวลาที่น้อยลงบนเว็บไซต์
  4. ลิ้งค์อินบาวด์ที่ไร้ซึ่งคุณภาพถึงหน้าเว็บไซต์ (โดยคิดเป็น %)
  5. การเชื่อมโยงต่ำหรือไม่มีการเชื่อมโยงหรือลิงก์ไปยังเพจหรือไซต์ใน Social Media จากเว็บไซต์อื่น ๆ
  6. อัตราการคลิกที่ต่ำจากหน้าการค้นหาของ Google
  7. เนื้อหาของหน้าเว็บหรือเว็บไซต์มี Title  Keyword หรือ Tag ไม่ตรงกับการค้นหา 

Google Penguin : เป็นอัลกอริทึ่ม อีกตัวนึงที่ถูกพัฒนาโดย Google เช่นกัน เพื่อตรวจจับเว็บไซต์ที่มีการทำ Black Hat Webspam หรือ การปั่นเว็บ สายตรวจแห่ง Google ทำหน้าที่เหมือนกับตำรวจจราจรตรวจการเข้าออกของ Link ต่างๆ ที่จะเข้ามาในเว็บให้เป็นไปอย่างถูกต้อง คลีนๆ โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีการ Copy บทความ ปั่น หรือทำการสปินบทความจนไม่สามารถที่จะอ่านได้รู้เรื่อง ควรระวังไว้ (ซึ่งตอนนี้ Google Penguin สามารถอ่านภาษาไทยได้แล้ว) เพราะจะถูกเจ้าตัว Penguin จัดการลดอันดับให้อยู่อันดับลงไปเรื่อยๆ นั่นเอง ดังนั้นหากใครที่ทำเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อผู้อ่านแล้วล่ะก็ รับรองว่า Penguin จะต้องทำให้อันดับของเว็บไซต์นั้นดีขึ้นอย่างแน่นอน เพราะว่าหัวใจก็คือการจัดอันดับผลการค้นหาที่ดี ที่ตรง กับความต้องการของผู้ค้นหา ให้ได้บทความ ข้อมูล หรือเว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง 
เมื่อโดน Google Penguin เล่นงาน ควรทำอย่างไร?
  1. กำจัดข้อความและเนื้อหา ที่มีการสแปมออกจากเว็บไซต์
  2. ยกเลิกการฝากลิงค์ ฝากเว็บไซต์ กับเว็บไซต์ที่เข้าข่ายว่าเป็นสแปม
  3. ยกเลิกการนำบทความไปโพสบนบทเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพ (Content farm)
ใน Google algorithm จะมีการเปลี่ยนแปลง อัพเดท อยู่เสมอ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับเนื้อหาและการค้นหาของ Google  และเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งาน Search Engine ทั้งหลาย ถ้าเราปฏิบัติตามกฎที่ทาง Google วางไว้ เว็บไซต์เราก็ไม่ถูกแบน ไม่ถูกลดอันดับ จากกูเกิ้ล จนทำให้ใครก็หาเว็บไซต์ของเราไม่เจอ

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิธีทำ SEO : การเช็คอันดับบน google.co.th แบบไม่ติด Cache

การที่เราเข้าเว็บของตัวเองบ่อยๆ ทำให้การเช็คอันดับ Keyword จากเครื่องตัวเองอาจจะเกิดความไม่แม่นยำได้เพราะ Google นั้นสามารถจดจำการเข้าใช้งานของเราได้ ก็จะทำให้เสิร์ชเจอง่ายๆ เหมือนกับเป็นการเข้าข้างตัวเอง 
ดังนั้น เราจึงมีการง่ายๆ ในการเช็คอันดับ Keyword ที่เสถียร ซึ่งมีผลดีต่อ วิธีทำ SEO มาฝากกัน
เริ่มจาก เปิด Google Chrome ขึ้นมา แล้วกดปุ่มค้างไว้ 3 ปุ่ม ตามนี้

Ctrl + Shift + n

เราก็จะได้หน้าต่างใหม่ โผล่มา มีรูปนักสืบด้วย พอได้แบบนี้แล้วก็ลองเข้า google.co.th
จากนั้นพิมพ์ Keyword ที่ต้องการแล้ว ค้นหาได้เลย
หน้าต่างแบบไม่ติด Cache ดังภาพ

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

การโปรโมตเว็บไซต์อย่างถูกวิธี SEO


การใช้ลิงก์ย้อนกลับจะช่วยเพิ่มคุณค่าของเว็บไซต์


   ซึ่งปกติเราจะมีจำนวนลิงก์มากขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนผู้ใช้ที่เจอเว็บไซต์ของเราผ่านทาง Search Engine หรือวิธีการอื่นๆ และทำการลิงก์ไปที่เว็บไซต์  
Google ตระหนักดีว่าเราคงต้องการให้ผู้อื่นทราบเกี่ยวกับไซต์ที่เราสร้างขึ้นมา ซึ่งการโปรโมตเนื้อหาใหม่ๆ อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ผู้ใช้ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกันหาเว็บไซต์ของเราได้เร็วยิ่งขึ้น 
อย่างเช่น
1) การโปรโมตเว็บไซต์และลิงค์อย่างเหมาะสมจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์มากขึ้น

การพัฒนาทักษะในการโปรโมตข้อมูลผ่านบล็อกให้เป็นที่รู้จัก ออนไลน์

   การเขียนบล็อกบนเว็บไซต์ของเราเองเป็นการประชาสัมพันธ์ที่ดีมาก เพื่อให้ผู้ใช้รับทราบถึงผลิตภัณฑ์หรือ บริการใหม่ๆ เสมอๆเว็บมาสเตอร์คนอื่นที่ติดตามเว็บไซต์ของเราหรือฟีด RSS ก็จะสามารถติดตามข่าวสาร ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
   การโปรโมตบริษัทหรือเว็บไซต์ทางออฟไลน์ก็เป็นอีกวิธีที่เป็นประโยชน์ ตัวอย่างเช่น หากเรามีเว็บไซต์ ของธุรกิจ ลองพิมพ์ URL ไว้บนนามบัตร หัวจดหมาย แผ่นโปสเตอร์ ฯลฯ นอกจากนี้ เรายังสามารถส่งจดหมายข่าวให้กับลูกค้าเป็นประจำ เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ บนเว็บไซต์
   หากเรามีธุรกิจ การเพิ่มข้อมูลธุรกิจลงใน Google Places จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าผ่านทาง Google แผนที่และการค้นเว็บได้ ศูนย์ช่วยเหลือสำหรับเว็บมาสเตอร์จะมีเคล็ดลับเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ โปรโมตธุรกิจของเรา

2) การลงทะเบียนธุรกิจกับ Google Places จะช่วยให้เราสามารถโปรโมตเว็บไซต์ผ่าน Google แผนทีและการค้นหาเว็บได้

วิธีการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์

1. ทำความรู้จักกับเว็บไซต์สื่อสังคมออนไลน์
เว็บไซต์ที่มีการโต้ตอบและแบ่งปันระหว่างผู้ใช้ช่วยให้เราเข้าถึงกลุ่มบุคคลที่มีความสนใจในเนื้อหาที่คล้ายๆ กันได้ง่ายดายมากขึ้น
หลีกเลี่ยง
–  การโปรโมตข้อมูลใหม่จำนวนเล็กๆ น้อยๆ คุณควรทำเฉพาะเนื้อหาที่สำคัญๆและน่าสนใจ
– การใช้กลยุทธ์เพื่อหลอกลวงว่าเนื้อหาของเราติดอันดับยอดนิยมในเครื่องมือค้นหา
2. ติดต่อสื่อสารกับผู้ที่อยู่ในชุมชนที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับไซต์ของเรา
มีโอกาสเป็นไปได้ว่า มีเว็บไซต์จำนวนไม่น้อยที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับของเราอยู่แล้ว และการสื่อสารกับเว็บไซต์เหล่านี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเรา การติดตามหัวข้อที่ได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่มหรือในชุมชนของเราจะช่วยกระตุ้นให้เกิดแนวคิดเนื้อหาใหม่ๆ หรือการสร้างแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่าสำหรับชุมชน
หลีกเลี่ยง
– การส่งสแปมลิงก์ไปยังทุกไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์
– การซื้อลิงก์จากเว็บไซต์อื่นเพื่อให้ได้อันดับหน้าเว็บแทนที่จะเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

การใช้แท็กหัวเรื่องอย่างเหมาะสม H1 H2 H3 ทั้งโครงสร้างเว็บ และบทความ


แท็กหัวเรื่อง (ซึ่งไม่ใช่แท็ก ของ HTML หรือ ส่วนหัวของ HTTP) ใช้เพื่อจัดการโครงสร้างของ หน้าเว็บไซต์ แท็กหัวเรื่องมีอยู่ทั้งหมด 6 ขนาด และเริ่มต้นด้วย <h1> ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุด เรียงไปจนถึง <h6> ซึ่งเรียงตามความสำคัญ
  เนื่องจากแท็กหัวข้อส่งผลให้ข้อความภายในแท็กนั้นมีขนาดใหญ่กว่าข้อความอื่นๆ ในหน้าเว็บไซต์ ซึ่งเป็นการเน้นให้ผู้ใช้รับรู้ได้ว่าข้อความนั้นมีความสำคัญ และขนาดหัวข้อที่แตกต่างกันนี้ได้ก่อให้เกิดโครงสร้างตามลำดับขั้น ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น
วิธีทำ SEO มีหลักการเขียนแท็กหัวข้อบทความดังนี้
  1. โดยให้จินตนาการว่าเรากำลังร่างเค้าโครงเนื้อหา
ซึ่งไม่ต่างไปจากการเขียนเค้าโครงเนื้อหาสำหรับ รายงานเล่มใหญ่ นั่นคือจัดระเบียบข้อมูลว่าประเด็นหลักและประเด็นรองของเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ ควรอยู่ที่ใด และตัดสินใจว่าควรวางแท็กหัวข้ออย่างไรจึงจะเหมาะสม
  หลีกเลี่ยง
• การวางแท็กหัวเรื่องกับข้อความที่ไม่จำเป็น ซึ่งอาจทำให้โครงสร้างเนื้อหาในเว็บไซต์ดูไม่เป็นที่น่าสนใจ
• การใช้แท็กหัวเรื่องผิดที่ เช่นใช้ควบคู่กับแท็ก <em> (แท็ก HTML สำหรับการเน้นข้อความ โดยใช้ตัวเอียง) และ <strong> (แท็ก HTML สำหรับการเน้นข้อความ โดยใช้ตัวหนา )
• การใช้ขนาดแท็กหัวเรื่องที่ไม่แน่นอน
   2. ควรใช้แท็กหัวเรื่องอย่างเหมาะสม
ไม่วางแท็กหัวข้ออย่างพร่ำเพรื่อ แท็กหัวข้อที่ปรากฏบนหน้าเว็บไซต์มากเกินไปทำให้ผู้ใช้มีปัญหาในการอ่านข้อมูลคร่าวๆ และยากต่อการพิจารณาว่าส่วนใดคือจุดสิ้นสุดหัวข้อ และส่วนใดคือจุดเริ่มต้นหัวข้อใหม่
   หลีกเลี่ยง
• การวางแท็กหัวข้อบนหน้าเว็บอย่างฟุ่มเฟือย
• การใส่ข้อความทั้งหมดบนหน้าเว็บลงในแท็กหัวข้อเรื่องเดียว
• การใช้แท็กหัวเรื่อง สำหรับการจัดแต่งข้อความ โดยไม่คิดถึงความเหมาะสมของโครงสร้างของเนื้อหา
ตัวอย่างลำดับความสำคัญของ h1 ถึง h6 ตามความเข้าใจได้ง่ายๆ 
เช่น หากเขียนบทความเกี่ยวกับ “โลก” ควรเขียนแท็กหัวข้อ ดังนี้
<h1>โลก</h1>
    <h2>ทวีปเอเชีย</h2>
        <h3>ประเทศ</h3>
            <h4>จังหวัด</h4>
                <h5>ตำบล</h5>
                     <h6>หมู่บ้าน</h6>
    <h2>ทวีปยุโรป</h2>

เป็นต้น

นำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพต่อ SEO

การนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพ หมายถึง การสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจและเป็นประโยชน์ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างเว็บไซต์


   ถ้าหากเราทำเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาดีๆ ผู้เข้าใช้ก็อาจจะบอกต่อผู้ใช้รายอื่นๆ ให้เข้าถึงเว็บไซต์นั้นๆ
โดยเผยแพร่ผ่านบล็อก บริการสื่อสังคมออนไลน์ (social media services) อีเมล ฟอรัม หรือช่องทางอื่นๆ       การกระจายข้อมูลแบบบอกต่อ ปากต่อปาก คือสิ่งที่จะช่วยสร้างความนิยมของเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ใช้งานและ Google โดยมักจะมาควบคู่กับเนื้อหาที่มีคุณภาพ
วิธีทำ SEO ที่ดี คือการเขียนเนื้อหาอย่างมีคุณภาพทำได้ดังนี้

คาดการณ์ระดับความเข้าใจของเนื้อหาที่แตกต่างกันตามผู้ใช้และเสนอเนื้อหาที่ครบถ้วนสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ

  ให้ลองนึกถึงคำต่างๆ ที่ผู้ใช้อาจจะใช้ในการค้นหาเว็บไซต์ของเรา ผู้ใช้ที่รู้ลึกในหัวข้อนั้นๆ อาจเลือกใช้คำหลักที่แตกต่างจากคำหลักของผู้ใช้ใหม่ๆ ยกตัวอย่างเช่น คนที่เคยเรียนดนตรีอาจค้นหาคำว่า YAMAHA หรือ KPN Music ในขณะที่ผู้ที่สนใจอยากเรียนเกี่ยวกับดนตรีอาจเลือกใช้ข้อความค้นหาทั่วๆ ไป เช่น โรงเรียนสอนดนตรี การคาดเดา
พฤติกรรมการค้นหาที่แตกต่างกันเหล่านี้และปรับปรุงในการเขียนเนื้อหาของคุณให้สอดคล้องกัน
(การใช้คำหลักต่างๆ ที่เหมาะสม) จะช่วยให้ได้รับผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
  Google AdWords มีเครื่องมือหลักที่เป็นประโยชน์ซึ่งจะช่วยให้เราพบคำหลักใหม่ๆ และดูจำนวนในการค้นหาสำหรับแต่ละคำได้นอกจากนี้ เครื่องมือสำหรับเว็บมาสเตอร์ของ Google ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อความค้นหายอดนิยมที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา รวมถึงข้อความที่นำผู้ใช้มายังเว็บไซต์มากที่สุด
ลองนึกถึงการสร้างบริการใหม่ๆ ที่แตกต่างจากเว็บไซต์อื่นๆ คุณสามารถเขียนเกี่ยวกับงานทดลองใหม่ๆ ข่าวสาร บทความให้ความรู้ที่น่าสนใจ หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับกลุ่มผู้ใช้ของเราโดยเฉพาะ ที่เว็บไซต์อื่นๆ อาจไม่มีหัวข้อความรู้หรือความเชี่ยวชาญในการเขียนบทความเหล่านี้


แนะนำหลักการเขียนเนื้อหาที่ดีเผื่อใช้ในการเผยแพร่

1. เขียนข้อความให้อ่านได้ง่าย
ผู้ใช้ชอบเนื้อหาที่มีการเรียบเรียงอย่างดีและเข้าใจง่าย
ควรหลีกเลี่ยง
– การเขียนเนื้อหาที่ใช้ตัวสะกดและไวยากรณ์ผิดหลายจุด ควรพิสูจน์อักษาก่อนใช้เผยแพร่
– การฝังข้อความลงในรูปภาพเป็นข้อความ (เนื่องจากผู้ใช้อาจต้องการที่จะคัดลอกและวางข้อความนั้นๆ ซึ่งตัวเครื่องมือค้นหาไม่สามารถอ่านได้)
2. จัดระเบียบเนื้อหาในรูปแบบหัวข้อต่างๆ
การจัดระเบียบเนื้อหาช่วยให้ผู้ใช้สามารถแยกหัวข้อต่างๆ ของเนื้อหาได้เป็นอย่างดี
การแยกย่อยเนื้อหาออกเป็นกลุ่มหรือเป็นสัดส่วนอย่างสมเหตุสมผลจะช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาเนื้อหาที่ต้องการได้รวดเร็วขึ้น
ควรหลีกเลี่ยง
– การเขียนเนื้อหายาวๆ ประโยคติดๆกัน พูดถึงหลายๆหัวข้อในหน้าเว็บไซต์ โดยไม่ใช้ย่อหน้า หรือ หัวข้อย่อย
3. เขียนให้คุมประเด็นเนื้อหา
การจัดระเบียบเนื้อหาให้เป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ ให้สามารถเข้าใจถึงจุดเริ่มต้นของประเด็นเนื้อหาและจุดสิ้นสุดได้
การจัดแบ่งเนื้อหา อย่างเป็นสัดส่วน จะช่วยให้ผู้ใช้พบเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

4. ใช้ภาษาที่สอดคล้องกับเนื้อหา
ให้ลองนึกถึงข้อความคำค้นหาที่ผู้ใช้อาจระบุเพื่อค้นหาเนื้อหาในเว็บไซต์ของเรา
ผู้ใช้ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆอาจจะเลือกใช้คำหลักในการค้นหาที่แตกต่างจากผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆเลย
การคาดการณ์และคำนึงถึงความแตกต่างในพฤติกรรมการค้นหา การเขียนเนื้อหา การใช้วลีหลักร่วมกันอย่างลงตัว ย่อมส่งผลดีต่อการค้นหา เช่นกัน

5. สร้างเนื้อหาแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร
การที่เราเขียนเนื้อหาที่แปลกใหม่ไม่เพียงแต่จะทำให้ฐานผู้เข้าชมที่มีอยู่เดิม กลับมาชมเว็บไซต์ของเราเป็นประจำเท่านั้น
แต่ยังดึงดูดผู้เข้าชมรายใหม่ๆได้ด้วยเช่นกัน
ควรหลีกเลี่ยง
– การดัดแปลง (หรือแม้แต่การคัดลอก) เนื้อหาจากที่อื่นๆ ที่ไม่ให้ประโยชน์ต่อผู้ใช้
– การใส่เนื้อหาที่ทำซ้ำหรือเนื้อหาที่ใกล้เคียงกับเนื้อหาเดิมลงทั่วทั้งเว็บไซต์ของคุณ
6. นำเสนอเนื้อหาหรือบริการพิเศษ
ลองเสนอบริการใหม่ๆที่เป็นประโยชน์อย่างที่เว็บไซต์อื่นๆ ไม่มีให้
7. การสร้างเนื้อหาโดยเน้นที่เข้าผู้ใช้เป็นหลัก ไม่ใช่เครื่องมือค้นหา
การออกแบบเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้และเพื่อให้เครื่องมือค้นหาเข้าถึงได้ง่ายจะส่งผลดีมากกว่า
ควรหลีกเลี่ยง
– ใช้คำหลักที่ไม่จำเป็นจำนวนมากๆเพื่อลวงเครื่องมือค้นหา เพราะจะสร้างความรำคาญแก่ผู้ใช้
– การใส่ข้อความยาวๆ เช่น “คำที่มักสะกดผิดที่ใช้ในการมายังหน้าเว็บนี้” ซึ่งไม่มีความหมายกับผู้ใช้เลย
– การซ่อนข้อความไม่ให้ผู้ใช้เห็นเพื่อใช้กับเครื่องมือค้นหา

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิธีกา SEO เรื่อง Page Quality




สอน seo แนวโน้มที่ Google จะให้เป็น High Quality  เป็นอย่างไร?


1.  ต้องเป็นเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงที่ดี มีชื่อเสียงในแง่บวก โดยชื่อเสียงของเว็บไซต์ จะมาจากประสบการณ์ ของผู้ใช้งานจริง และรวมถึงความคิดเห็นของผู้ใช้ เช่น รีวิว คอมเม้นต์ เว็บบอร์ด 

2.  เนื้อหาหลักต้องมีคุณภาพที่สูงและมีจำนวนที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น พวกเว็บสารานุกรม wikipedia เพราะเว็บแบบนี้จะเน้นให้ข้อเท็จจริง ถูกต้อง ชัดเจน และครอบคลุม สำหรับเว็บ Shopping ก็ควรที่จะง่ายต่อการค้นหาสินค้า หรือ สั่งซื้อ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเว็บ High Quality จะเกี่ยวกับเรื่องความเชี่ยวชาญที่เฉพาะเจะจงได้ เช่น บทความเกี่ยวกับแม่และเด็ก และ ทักษะด้านต่างๆ เช่น เทคนิคการแต่งสวนสวย

3. ต้องมีการจัดวาง Section ของเนื้อหาที่ดี สวยงาม สะดวกต่อการใช้งานของผู้ชม เช่น เมนู Sidebar Footer Drop down ต่างๆ

4. โดยรวมถึงการตรวจสอบสภาพเว็บ เช่น ลิงค์ไม่มีเสีย  รูปภาพแสดงผลปกติ เป็นต้น รวมถึงมีการอัพเดทเนื้อหาข้อมูลใหม่ๆ ตลอดเวลา

5. ข้อมูลเว็บไซต์ต้องครบถ้วนถูกต้อง และชัดเจน เช่น หน้า About us   Contact Us   Service Information เป็นต้น

6. มัการออกแบบที่สะดวกต่อการใช้งาน (User Experience) ปัจจุบัน เว็บไซต์ที่มีรูปแบบที่ซับพอร์ตมือถือ เข้ามามีบทบาทมากและมีผลต่อ Search ของ Google อีกด้วย

7. ต้องทำให้เว็บมีความน่าเชื่อถือสูง เช่น เว็บที่สร้างจากผู้เชี่ยวชาญ หรือ ทีมบก. ประจำ หรือจากบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น บทความ หรือ ข่าวที่เขียนโดย ทีมเว็บมากเตอร์ Sanook.com, Music Video บน Youtube Official MV จากทางค่ายเพลงต่างๆ เป็นต้น

สอน seo  ดูว่า Lowest Quality Page เว็บที่ถูกจัดว่าอยู่ในระดับต่ำ เป็นอย่างไร?

1. หน้าเพจที่ฝั่งไวรัสหรือมีสคิปที่เป็นไวรัสลวงข้อมูล

2. หน้าเพจที่ไม่มีจุดประสงค์  ไม่รู้ หรือตอบได้ยากว่าสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร

3. หน้าที่สร้างมาเพื่อใช้หลอก Search Engine 

4. ใส่ Keyword มากจนเกินไป อ่านไม่ได้ใจความ 

5. เนื้อหาข้อมูลที่สร้างแบบอัตโนมัติ เช่น สปินบทความ

6. เนื้อหาที่ COPY มาและซ้ำๆกับเว็บอีกหลายเว็บ

7. เว็บไม่มีข้อมูลจำเป็นของเว็บไซต์  เช่น About us, Contact Us

8. เพจที่ไม่น่าเชื่อถือ เว็บหลอกให้คลิกต่างๆ เช่น มี link Download ที่น่าสงสัย

9. เว็บที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ข้อมูลไม่มีการอัrเดทหรือเป็นสแปม

10. เว็บมีชื่อเสียงในทางลบ

11. เนื้อหาที่ไม่มีสาระ หรือ เว็บขยะ

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559

สอน seo : เน้นค่า PA กับ DA แทน ค่า PR

   
 อย่างที่ทราบกันดีว่า แต่ละหน้าของเว็บไซต์จะมีค่า PR หรือ Page Rank ที่ใช้วัดคุณภาพของเว็บไซต์และบทความ ซึ่งปกติค่านี้จะได้มาจาก Google เอง โดยจะมีการอัพเดทค่า PR นี้ในทุกๆ 3-4 เดือน แต่มาระยะหลังๆ หลายๆปีที่ผ่านมานี้ ค่า PR นี้ไม่มีการอัพเดทอีกแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า Google เลิกสนใจค่านี้เสียแล้ว
วิธีทำ SEO คือมีการสร้างอัลกอลิทึมใหม่ขึ้นมา เพื่อพิจารณาประสิทธิภาพของเว็บไซต์ และคุณภาพของหน้าเว็บเพจด้วยค่าใหม่ 2 ค่านี้คือ DA และ PA
DA  (Domain Authority) คือ ค่าบอกคะแนนคุณภาพของเว็บไซต์ทั้งเว็บ มีคะแนนตั้งแต่ 1 – 100
PA  (Page Authority) คือ ค่าบอกคะแนนคุณภาพของเว็บเพจหน้านั้นๆ มีคะแนนตั้งแต่ 1 – 100
สำหรับค่า DA และ PA นั้นได้ชื่อว่าเป็นค่าที่วัดคุณภาพของเว็บไซต์มาตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปัจจุบัน

ค่า DA และ PA เกิดจาก

Moz คือเว็บไซต์ที่มีการคิดค่าเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นคะแนนทดแทนค่า PR ของ Google ที่ไม่มีการอัพเดทเป็นเวลายาวนาน โดย Moz ให้เหตุผลของที่มาของคะแนนต่างๆดังนี้

การพิจารณาค่า DA

ค่า DA Domain Authority คือค่าที่คิดเอาจากข้อมูลในฐานข้อมูลของ Mozscape web index ซึ่งมีการพิจารณาในหลายๆปัจจัยเช่น ลิงค์ที่นำเข้ามา (Backlink) คะแนนอันดับจาก MozRank ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์จาก MozTrust และอีกนับสิบๆปัจจัย
ค่า PA Page Authority คือค่าที่พิจารณาเหมือนกับค่า DA แต่ต่างกันที่ว่าค่า PA นั้นจะพิจารณาเป็นหน้าๆไป (ซึ่งมีคะแนนจาก DA เข้ามาคำนวณด้วย)

วิธีเช็คค่า PA และ DA

มีมากมายหลายวิธี แต่จะขอแนะนำวิธีที่ง่ายและสั้นที่สุดนั่นก็คือ เข้าไปเช็คได้จากเว็บไซต์นี้ https://moz.com/researchtools/ose/ โดยใส่ Domain ที่ต้องการจะดูเข้าไปที่ชื่อง URL ได้เลย
Google ไม่อัพเดทค่า PR นานแล้ว ดังนั้นสนใจที่ค่า PA และ DA กันดีกว่า
หลังจากที่เรากด Search แล้วระบบจะแสดงผลคะแนนเกี่ยวกับค่า DA และ PA ขึ้นมาให้
Google ไม่อัพเดทค่า PR นานแล้ว ดังนั้นสนใจที่ค่า PA และ DA กันดีกว่า
เพียงเท่านี้ก็สามารถค้าหาดูค่าต่างๆ ที่แสดงถึงคุณภาพของเว็บไซต์ได้แล้ว
** หมายเหตุ**
โปรดอย่าลืมว่าค่า DA และ PA นั้นไม่ได้มีการกำหนดมาจาก Google โดยตรง ดังนั้นปัจจัยในการสอน SEO เพื่อให้ได้อันดับดีๆนั้น ก็คงไม่ได้แค่พิจารณาเฉพาะค่า DA, PA เพียงแค่นั้น ต้องมีปัจจัยอีกเป็นร้อยๆปัจจัย ที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนลำดับบนผลการค้นหา เช่น คุณภาพของหน้านั้นๆกับคำค้นหา, อายุเว็บไซต์, หมวดหมู่เว็บไซต์กับคำค้นหา ฯลฯ