วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สอน SEO : พื้นฐานในหน้าแสดงผลการค้นหาบน Google

สอน SEO : พื้นฐานในหน้าแสดงผลการค้นหาบน Google



  ก่อนจะเริ่มสอนทำ SEO ขั้นตอนที่ขาดไม่ได้คือการเข้าใจถึง ผลการแสดงผลการค้นหาบน Google กันเสียก่อน โดยเฉพาะการแสดงผลในหน้าแรก ที่มีทั้งตำแหน่งโฆษณา และตำแหน่งที่เกิดการจากทำ SEO เพื่อชิงอันดับต้นๆบนผลการค้นหา และในบทความนี้จะกล่าวถึงรายละเอียดขององค์ประกอบขั้นพื้นฐานในส่วนของการแสดงผลการค้นหาเฉพาะกล่องของเว็บไซต์นั้นๆ ว่าแต่ละส่วนมีความสำคัญอย่างไร และมันเกี่ยวกะไรกับ วิธีทำ SEO

เรามาเริ่มต้นกันที่คำค้นหาว่า “เที่ยวญี่ปุ่น” กันก่อน

เริ่มต้น SEO 2 : เรียนรู้พื้นฐาน ในหน้าแสดงผลการค้นหาบน Google

จากภาพนี้ เวลาเราค้นหาจากผลการค้นหาบน Google ให้ลองมองดู 3 Zone หลักๆดังนี้
  • A : เป็นจำนวนผลการค้นหา ที่ Google พบ เมื่อเราใส่คำค้นหา โดยเป็นจำนวนแสดงผลแบบนับตามหน้า (1 เว็บไซต์อาจแสดงผลหลายหน้า) ในที่นี้คือจำนวน 3,900,000 รายการ
  • B : จะมีทั้งตำแหน่ง B ด้านบน /  B ด้านซ้าย และในบางครั้งยังมีที่ตำแหน่งด้านล่างอีก ซึ่งในตำแหน่งนี้ ถือว่าเป็นการแสดงผลของโฆษณา ที่ผู้ลงโฆษณาจะต้องเสียเงินให้กับ Google เมื่อลูกค้ามีการคลิกโฆษณาเข้าไปชมเว็บไซต์ซึ่งโปรแกรมการลงโฆษณาบนผลการค้นหานั้นเราเรียกว่า Google Adwords
  • C : ตำแหน่งนี้ ถือว่าคือตำแหน่งของการทำ SEO โดยเว็บไซต์ที่ขึ้นอันดับ 1 ในคำค้นหานั้นๆ จะถือว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพในสายตาของ Google หากในคำค้นหานั้นๆมีโฆษณาเต็มทุกตำแหน่ง จะทำให้ตำแหน่งของ SEO กลายเป็นตำแหน่งการแสดงผลลำดับที่ 4 ซึ่งจากสถิติแล้วนั้นมีโอกาสที่ผู้ค้นหาจะคลิกเว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้อันดับบนสุดเพียง 23% แต่หากในคำค้นหานั้นๆ ไม่มีการแสดงผลของโฆษณา จะทำให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้อันดับบนสุด มีโอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกเข้ามาถึง 33% 

องค์ประกอบย่อยของ การแสดงผลของลิงค์

ตามที่เราได้เคยเห็นผลการค้นหาบน Google จะแสดงผลรูปแบบเดียวกัน แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการอัพเดทแต่ละครั้ง โดยในปีที่มีการเขียน Content นี้นั้นรูปแบบการแสดงผลเป็นดังนี้
เริ่มต้น SEO 2 : เรียนรู้พื้นฐาน ในหน้าแสดงผลการค้นหาบน Google
นี่ก็การแสดงผลของเว็บไซต์ที่ ทำ SEO ได้อันดับ 1 ในคีย์เวิร์ด “เที่ยวญี่ปุ่น” โดยเราจะมาดูองค์ประกอบทีละส่วนกัน
เริ่มต้น SEO 2 : เรียนรู้พื้นฐาน ในหน้าแสดงผลการค้นหาบน Google
จากภาพ จะแสดงการแบ่งองค์ประกอบเป็น 3 ส่วนหลักๆดังนี้
  • A : คือตำแหน่งหัวชื่อเรื่องของเว็บไซต์ ในส่วนนี้ผู้สร้างเว็บไซต์สามารถกำหนดเองได้ โดนการใส่ข้อความที่ต้องการแสดงผลไว้ที่ <title></title> ของบนหน้าเว็บเพจของตนเอง ซึ่งข้อความนี้มีผลอย่างมากต่อการคลิกเข้าไปชมเว็บไซต์หลังจากค้นหาพบแล้ว เพราะฉะนั้นในส่วนของ Title นี้ จึงมีความสำคัญอันดับต้นๆ ที่ผู้พัฒนาเว็บไซต์ต้องให้อันดับความสำคัญมากที่สุด
  • B : ตำแหน่งของ Link ไปยังเว็บไซต์ ต่อด้วยส่วนที่เรียกว่า Breadcrumb (www.yourwebsite.com › บริษัททัวร์ › ทัวร์ต่างประเทศ) หรือตัวนำทาง Navigation ซึ่งโดยปกติทั่วไป Google จะแสดงผลเฉพาะ Link เท่านั้น แต่หากว่าเว็บไซต์ใดมีโครงสร้างที่ดีต่อการทำ SEO จะทำให้ Google รับรู้โครงสร้างที่ถูกต้อง จึงแสดงเป็น Breadcrumb ขึ้นมาได้
  • C : ในส่วนสุดท้ายเราเรียกว่า Description ส่วนนี้เป็นส่วนขยายของเว็บไซต์ มีพื้นที่ 2 บรรทัด โดยจะแสดงคำอธิบายเพิ่มเติมจากส่วน A (Title) ส่วนนี้ผู้ทำเว็บไซต์ไม่สามารถกำหนดข้อความที่แน่นอนได้ เพราะส่วนใหญ่แล้ว Google จะเป็นผู้เลือกการแสดงผลให้เอง โดยจะพิจารณากับข้อความที่มีคนค้นหา
ในการสังเกต เอาใจใส่กับผลการค้นหาบน Google นั้นเป็นแนวทางการพัฒนาเว็บไซต์อย่างหนึ่งที่ทำให้ได้อันดับบนผลการค้นหาดีขึ้น ข้อมูลเหล่านี้เราเรียกกันว่าRich Snippets
ตามจริงแล้วนั้นการแสดงผลการค้นหาบน Google มีได้หลายรูปแบบ ทั้งแบบการแสดงผลของบริษัทรีวิว สินค้า รูปภาพ บทความ วีดีโอ รวมไปถึง Event  กำหนดการต่างๆ

เริ่มต้น SEO 2 : เรียนรู้พื้นฐาน ในหน้าแสดงผลการค้นหาบน Google
การแสดงผลของเมนูอาหาร
เริ่มต้น SEO 2 : เรียนรู้พื้นฐาน ในหน้าแสดงผลการค้นหาบน Google
การแสดงผลของรีวิว
เริ่มต้น SEO 2 : เรียนรู้พื้นฐาน ในหน้าแสดงผลการค้นหาบน Google
การแสดงผลของอีเว้น
เริ่มต้น SEO 2 : เรียนรู้พื้นฐาน ในหน้าแสดงผลการค้นหาบน Google
การแสดงผลของวีดีโอ
ด้วยหวังว่าความรู้เกี่ยวกับ พื้นฐานการแสดงผลในหน้าการค้นหาบน Google จะทำให้ผู้อ่านและผู้ที่เริ่มต้นทำ SEO นั้นได้เข้าใจถึงหลักการแสดงผลจากประสบการณ์จริง และใน Series การทำ SEO เบื้องต้นในบทต่อไป เราจะมาเรียนรู้ถึงพื้นฐานการทำ SEO ที่บนหน้าเว็บไซต์เราเองบ้าง

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สอนทำ SEO : ทำไมต้องมีลิงค์เข้ามาจากบทความ ?

สอนทำ SEO : ทำไมต้องมีลิงค์เข้ามาจากบทความ ?


เพราะลิงค์ที่มาจากบทความ บนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง เป็นลิงค์ที่ได้คะแนน SEO ที่ดีมากๆ

โดยมีวิธีทำ SEO  Back link (ลิงค์เข้าจากบทความ) ดังนี้

  1. บทความนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ หรือเกี่ยวข้องกับลิงค์ที่ถูกเชื่อมโยงมายังเรา
  2. บทความนั้นจะต้องอยู่บนเว็บไซต์ ที่เกี่ยวข้องกับลิงค์ที่ถูกเชื่อมโยง หรือเกี่ยวข้องกับ Keyword ที่เรากำหนด
  3. บทความนั้นจะต้องใหม่ (เขียนขึ้นใหม่) และไม่ซ้ำใคร
  4. บทความนั้นจะต้องยาวพอประมาณ มีคุณภาพ เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน  (โดยจำนวนตัวอักษรอยู่ประมาณ 700-1000 ตัวอักษร)
วิธีทำ seo ควรไม่ลืมว่าทุกการเพิ่มของลิงค์เข้ามายังเว็บไซต์ จะต้องทำให้เป็นธรรมชาติเสมอ
และไม่ควรใช้บทความเดียวนำไปขึ้นทุกเว็บไซต์ และการใส่ลิงก์ (Keyword) ต้องสลับตำแหน่งกันไปในบทความ (แต่ละบทความตำแหน่ง Keyword จะต้องไม่เหมือนกัน)

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เริ่มทำ SEO ต้องรู้ก่อนว่า Onpage Offpage คืออะไร



การทำ SEO โดยรวมนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
1. OnPage = การปรับปรุงโครงสร้างภายในเว็บไซต์ให้เหมาะสมต่อ Search Engine
2. OffPage = การส่งลิงค์จากเว็บไซต์ภายนอก เข้ามายังเว็บไซต์หลัก

การทำ SEO ในส่วนการซื้อ Text Links โดยตรง และการฝากประกาศบทความ (แนบลิงค์ภายในบทความ) เป็นการเพิ่มคะแนน SEO ในส่วนของ OffPage

โดยวิธีที่ดีสุดในการส่งลิงค์จากเว็บไซต์ภายนอกเพื่อเพิ่มคะแนน OffPage จะต้องประกอบด้วยปัจจัยเชิงคุณภาพดังนี้
1. ทำให้เป็นธรรมชาติ ไม่มีจำนวนมากเกินไป ใช้ลิงค์แบบหลากหลาย เช่น ลิงค์มาจากคำว่า “อ่านต่อ”, “ขอบคุณข้อมูลจาก…”, ” http://www.pruksa.com/คอนโด/” ฯลฯ (เน้นหลากหลายและเป็นธรรมชาติ)
2. ลิงค์ที่ดี จะต้องมาจากเว็บไซต์ในหมวดหมู่เดียวกัน
3. ลิงค์ที่ดี จะต้องมีจากเว็บไซต์ที่พื้นหลังหลากหลาย เช่น ต่างโครงสร้าง, ต่างอายุ , ต่าง PR ,Templateฯลฯ

ซึ่งการที่จะได้มาของ OffPage นั้นก็มี 2 ทางเลือกคือ
1. สร้างเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องขึ้นมาเอง ซึ่งขั้นตอนนี้สามารถทำได้ด้วยตนเอง
2. ไปซื้อลิงค์จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง (ทั้ง Text Links และ Advertorials) ในขั้นตอนนี้อาจต้องมีค่าใช้จ่าย

* ปริมาณของลิงค์จาก OffPage นั้นจะขึ้นอยู่กับ ความยากง่ายของ Keywords ที่ต้องการทำอันดับ
* หาก Keywords นั้นมีความยาก คู่แข่งสูง อาจต้องใช้จำนวนลิงค์เข้าเว็บไซต์ให้สูงตาม
* แต่ต้องอย่าลืมว่า ทุกการเพิ่มของลิงค์เข้ามายังเว็บไซต์ จะต้องทำให้เป็นธรรมชาติเสมอ

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

4 เทคนิค ทำ SEO ที่เหล่า Content Marketer ควรรู้


 เราจะพบได้น้อย หรือ ยากมาก ที่จะมีหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยที่รองรับหรือสอนบุคลากรด้าน Content Marketing โดยตรง ซึ่งการเป็น Content Marketer ในปัจจุบันนั้นอาศัยความสนใจ และประสบการณ์ล้วนๆ รวมกับพื้นฐานการตลาดแต่เดิมที่มีอยู่

1. คุณภาพของเนื้อหานั้นเป็นสิ่งสำคัญ

   หนึ่งในสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่นักการตลาดควรเรียนรู้หากต้องการให้เนื้อหา Content เป็นที่สนใจ Search Engine ต่างๆ จะเพิกเฉยต่อเว็บไซต์ที่มีคุณภาพของเนื้อหาที่ต่ำ ฉะนั้นเราจำเป็นต้องทุ่มเทและให้เวลากับการสร้างเนื้อหา บทความ แต่ละงานให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกได้ว่ามีคุณภาพและน่าติดตาม ไม่อย่างนั้นเว็บไซต์จะมีแนวโน้มว่าจะติดอันดับล่างๆ บนผลการค้นหาอย่างแน่นอน และทำให้แบรนด์ของเรามีภาพลักษณ์ที่แย่ตามไปด้วย นักการตลาด Content Marketer ที่ดีต้องคำนึงถึงคุณภาพของเนื้อหาก่อนหน้าจำนวนเสมอ

2. คีย์เวิร์ดยอดนิยมจะต้องปรากฏบนเนื้อหาทุกชิ้น

   ในการทำ SEO ขั้นพื้นฐานที่นักการตลาดทุกคนต้องรู้ เพราะ Search Engine เป็นหนึ่งในวิธีสำคัญที่ใช้ในการค้นหาสิ่งต่างๆ บนโลกออนไลน์ และในกลุ่มธุรกิจประเภทต่างๆ จะมี Keyword ยอดนิยมที่คนส่วนมากจะป้อนบน Search Engine เพื่อค้นหาสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาต้องการ หากนักการตลาดพลาดที่จะสอดแทรกคีย์เวิร์ดเหล่านั้นไว้ในเนื้อหาของพวกเขา อาจเป็นการยากที่ Search Engine จะทำให้ผู้ใช้พบเจอเนื้อหานั้นๆ ของพวกเขาได้
   ตัวอย่างเช่น หากว่าเราต้องการโปรโมทเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนดนตรี Keyword ที่น่าสนใจอาจจะเป็น คอสเรียนดนตรี, เรียนดนตรี , โรงเรียนสอนดนตรี ฯลฯ แต่หากใส่ Keyword นั้นๆ อย่างตั้งใจ บนบทความมากเกินไปเกินความจำเป็น อาจจะถูก Search Engine บางแห่งอย่างเช่น Google ลงโทษได้ ทางที่ดีควรเขียนบทความนั้นๆ อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการใส่ Keyword นั้นๆ จนมากเกินไปจะดีที่สุด

3. เขียนให้กระชับและได้ใจความมากที่สุด

   มีผู้อ่านจำนวนไม่น้อยที่เบื่อกับการอ่านบทความที่ยืดยาว เวิ่นเว้อ ฉะนั้น Content Marketer ที่ดีต้องสามารถสร้างเนื้อหาที่เข้าสู่ประเด็นต่างๆ ได้อย่างกระชับ ครอบคลุม ทำให้ผู้อ่านหรือผู้เยี่ยมชมสามารถเห็นว่าพวกเขาจะได้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาจากการเยี่ยมชมเว็บไซต์นั้นๆ ได้ในทันทีที่พวกเขาเริ่มอ่าน ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเข้าใจว่าบทความนี้เป็นบทความที่ไม่มีประโยชน์ และส่งผลกระทบถึงอันดับเว็บไซต์ของคุณบนผลผลการค้นหาได้

4. วางแผนให้ผู้อ่านมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาต่างๆ 

   การทำ SEO นอกจากจะทำให้เว็บไซต์ของเราพบเห็นโดยผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น เราเองก็สามารถทำให้ผู้อ่านเว็บไซต์มีส่วนร่วมกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ด้วยการเปิดโอกาสให้พวกเขาแสดงความเห็น ซึ่งจะทำให้เนื้อหาเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น และได้ส่งผลดีต่อการทำ SEO อีกด้วย
อย่างไรก็ตามทั้ง 4 เทคนิคที่ได้กล่าวมาแล้วเป็นแค่เพียงการทำ SEO ขั้นพื้นฐาน การจะเป็น Content Marketer ที่ประสบความสำเร็จนั้นยังต้องอาศัยเทคนิคและประสบการณ์ในการทำงานอีกมาก

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ทำความรู้จัก กับ SEO

SEO คือ อะไร ทำยังไง ? 


   SEO คือตัวย่อมาจากคำว่า Search Engine Optimization  หมายถึง ขั้นตอนการทำให้ เว็บไซต์ หรือ หน้าเพจต่างๆ ปรากฏอยู่ในอันดับที่ดีๆที่สุดของผลการค้นหา ผ่าน เสิร์จเอ็นจิ้น (Google Search) ด้วยคำค้นหา หรือ Keyword  ที่เกี่ยวข้องกับ เนื้อหาเว็บไซต์นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น เว็บไซต์ ข่าวสาร ร้านค้า ข้อมูลต่างๆ เนื้อหา บทความทั่วไป  หรือ งานบริการ ก็สามารถทำได้หมด ซึ่งการทำ SEO จะต้องรักษาให้อยู่ในอันดับที่ดีที่สุดเสมอๆ ทั้งนี้ในปัจจุบันความยากง่ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับอัลกอลิทึมที่ทางกูเกิ้ลได้ออกมา

ข้อดีและประโยชน์ของการทำ SEO สามารถแบ่งออกได้คร่าวๆได้ดังนี้
1) มีคนเข้าเว็บมากขึ้น : คือเมื่อเราได้อันดับดีๆบนๆในการค้นหาของกูเกิ้ลแล้ว โดยปกตินั้นผู้ใช้หรือบุคคลทั่วๆไป ที่ใช้เสิร์จเอ็นจิ้น (Google Search) ประมาณ 95% จะนิยมคลิกเฉพาะเว็บไซต์ที่ปรากฏขึ้นใน 2 หน้าแรกและยิ่งหากได้อันดับแรกๆ Traffic ก็ยิ่งมากตามไปด้วย
2)ได้กลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ : ในการทำเอสอีโอ (SEO) จะส่งผลให้เว็บไซต์เราได้รับกลุ่มลูกค้าอย่างแท้จริง ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ ทั้งนี้การที่เราจะเลือก Key word  ได้นั้น ต้องศึกษา ตลาด และ คู่แข่งให้ดี ถ้าเลือกผิดถึงแม้คู่แข่งจะน้อยก็ตาม อาจทำให้เราไม่ได้ลูกค้าตรงกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ
3) เพิ่มความน่าเชื่อถือ : เนื่องจากเว็บไซต์ที่แสดง จากผลลัพธ์ การค้นหา (Search Result) ที่อยู่ในอันดับต้นๆ จะปรากฏแสดงตรงตำแหน่งทางซ้ายมือของหน้าจอ ซึ่งเป็นตำแหน่งของ “ผลการค้นหาแบบธรรมชาติ” (Natural Search Result  หรือ Organic Search Result) การที่จะทำให้เว็บไซต์ขึ้นในตำแหน่งนี้ได้นั้น เหมือนแสดงว่าเว็บไซต์นั้นๆได้รับความนิยมอย่างสูง มีคนเข้ามาดูมาก มีความน่าเชื่อถือในระดับนึง เพียงพอที่จะทำให้ เสิร์จเอ็นจิ้นอย่างกูเกิ้ลนำเอามาแสดงเป็นอันดับแรกๆ ซึ่งตรงนี้ทำให้เว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือเมื่อมีลูกค้า มาพบเจอ และ ยังได้เปรียบมากกว่า ตำแหน่งผู้สนับสนุนโฆษณาของกูเกิ้ลเองทางด้านขวามือ 

ตำแหน่งของเว็บไซต์ที่ทำ SEO
  ในปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมาก ไม่ว่า บริษัท ห้าง ร้าน  ผู้ประกอบการ นิยมโปรโมตเว็บไซต์ผ่านช่องทาง Google Search จนในที่สุดวิธีนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของช่องทางทางการตลาดในโลกออนไลน์ไปแล้ว

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ข้อควรรู้การทำ SEO เรื่อง Meta





     ข้อควรรู้การทำ SEO เรื่อง Meta


เรื่อง Meta เป็นสิ่งทีควรรู้อันดับต้นๆ ของการทำ SEO  


Meta คือ กลุ่มคำไม่กี่คำ ที่ต้องสื่อถึงสิ่งที่หน้าเว็บไซต์เรามี

Meta Tags  คำอธิบาย ประกอบด้วยข้อความหรือประโยคเพียงสั้นๆเพื่ออธิบายรายละเอียด ของเว็บไซต์ ไม่ควรมีความยาวมากจนเกินไป



Meta Keywords  คือ คำหลักๆ ที่สำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์  ประมาณ 5-7 คำกำลังสวย


Meta Description   คือ คำอธิบายเป็นประโยคสั้นๆ ซึ่งต้องมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ ความยาวประมาณ 150 ตัวอักษร




Meta Description เป็นส่วนสำคัญอย่างนึงในการทำ SEO 



  การเขียน Meta Description  มีส่วนช่วยในการทำ SEO  เนื่องจาก Google อาจเลือกใช้ข้อความ บางส่วนที่เกี่ยวข้องบนหน้าเว็บไซต์เพื่อแสดงคำที่ตรงกับข้อความคำค้นหา หรือ Google อาจเลือกใช้คำอธิบายจาก Meta Description เลย
  ควรเพิ่มคำอธิบายลงในหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้า เพราะในกรณีที่ Google ไม่สามารถค้นหาข้อความที่เหมาะสม Google จะนำเอาคำอธิบายหน้าเว็บมาแสดงแทน
ตัวอย่างเช่น 
Keywords ของชำร่วย จะดึงจาก Meta Description มาแสดง

Google จะดึงข้อความมาจาก Meta Description


Keywords ตรวจหวย จะดึงคำอธิบายจากหน้าเว็บมาแสดง

Google จะดึงข้อความบนหน้าเว็บมาแสดง


   
ดังนั้นการใส่ Meta จึงเป็นส่วนประกอบหนึ่งของการทำ SEO ที่ดี